ที่ผ่านมาเรามักจะได้ยินคำว่า Business Transformation หรือการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจอยู่บ่อยมาก คำถามสำคัญที่เราต้องขบคิดก็คือ การเปลี่ยนแปลงในธุรกิจของเรานั้นควรจะทำที่จุดไหน เพราะถ้าหากเรามองไปที่แก่นแท้ของธุรกิจนั้น ไม่ว่าจะกี่ยุคกี่สมัย แก่นแท้ของธุรกิจนั้นยังคงเป็นเช่นเดิม นั่นก็คือ การทำกำไรสูงสุด โดยที่เราต้องสามารถตั้งราคาขายในระดับที่สูงกว่าต้นทุน และมีปริมาณขายที่มากพอที่ครอบคลุมทั้งต้นทุนขาย ต้นทุนการดำเนินงานต่างๆ และต้นทุนคงที่ที่เราลงทุนไปในตอนเริ่มธุรกิจด้วย ในการทำธุรกิจโดยทั่วๆไปเราก็จะเริ่มจาก input ของธุรกิจที่ใส่ลงไปไม่ว่าจะเป็นวัตถุดิบ, know-how บางอย่าง เข้ามาสู่กระบวนการธุรกิจ จากนั้นจึงออกมาเป็น output ที่ออกมาสู่ท้องตลาดไม่ว่าจะเป็นสินค้าหรือบริการต่างๆ ทั้งหมดนี้เราสามารถกล่าวได้ว่า ไม่ว่าจะเป็นยุคไหนสมัยไหนก็ตาม ธุรกิจยังคงเป็นแบบนี้อยู่เสมอ หรือ business as usual นั่นเอง
Transformation หรือการเปลี่ยนแปลงรูปแบบธุรกิจไปเป็นดิจิทัลมากขึ้น ด้วยเทคโนโลยีที่รุดหน้าไปไกลทำให้พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันก็มีธุรกิจใหม่ๆเกิดขึ้นมาจากการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีมากมายและเข้ามาท้าทายธุรกิจดั้งเดิมไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของบริการทางการเงิน การขนส่ง การท่องเที่ยวและโรงแรม ฉะนั้นแล้วการที่ธุรกิจจะอยู่รอดและเติบโตได้ในยุคนี้จำเป็นจะต้องทำการเปลี่ยนแปลงไปสู่การเป็นธุรกิจดิจิทัลมากขึ้น โดยกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลนั้นดิฉันมองว่าผู้ประกอบการควรทำใน 3 เรื่องหลักๆคือ Consumer Experience, Operational Process และ Business Model

ในส่วนของ Consumer Experience หรือประสบการณ์ของลูกค้านั้น ธุรกิจต้องเข้าใจไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคในปัจจุบันที่เป็นวิถีชีวิตดิจิทัลที่ชัดเจน ลูกค้าในปัจจุบันมีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้างและการทำงานผ่านอุปกรณ์อย่างสมาร์ทโฟน, แท็บเล็ต และวื่อสังคมออนไลน์กันมากขึ้น ฉะนั้นแล้วธุรกิจจะต้องปรับตัวในการสื่อสารและสร้างผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองชีวิตดิจิทัลของลูกค้ามากขึ้นไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารผ่านแอพต่างๆ การเชื่อมต่ออุปกรณ์หรือข้าวของต่างๆเข้ากับอินเตอร์เน็ตและสมาร์ทโฟนมากขึ้น ซึ่งนั่นจะช่วยให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงลูกค้าและสร้างประสบการณ์การใช้งานที่ตรงกับความต้องการได้อย่างรวดเร็วด้วย
การเปลี่ยนประการที่ 2 ที่ธุรกิจต้องทำก็คือ Operational Process หรือกระบวนการดำเนินงานของธุรกิจ ในยุคปัจจุบันที่พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การใช้เทคโนโลยีมาช่วยในการทำงานยุคดิจิทัลจึงยิ่งมีความสำคัญมากยิ่งขึ้น โดยเทคโนโลยีอย่าง Big Data นั้นจะช่วยให้เราเข้าถึง key insight ต่างๆจากข้อมูลปริมาณมหาศาลในแบบ real-time ซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับปรุงผลิตภัณฑ์ให้เข้ากับความเปลี่ยนแปลงอย่างทันท่วงที ขณะเดียวกันเทคโนโลยีดิจิทัลยังช่วยลดต้นทุนการดำเนินงานจากการที่ไม่ต้องมีหน้าร้านมากมายและช่วยให้เราเข้าถึงทั้งกลุ่มลูกค้าและ supplier ได้ง่ายและรวดเร็วด้วย
