NOTE:
ในเชิงของการทำงานจริงนั้น ผู้บริหารในภาคธุรกิจจำเป็นจะต้องตัดสินใจในสถานการณ์ที่ต้องโฟกัสสิ่งใดสิ่งหนึ่งและดำเนินกลยุทธ์ขับเคลื่อนองค์กรไปในทิศทางดังกล่าวภายใต้ทรัพยากรที่มีอยู่ โดยมากแล้วธุรกิจจะต้องเลือกระหว่าง Growth กับประสิทธิภาพทั้งสองสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ต้อง trade off กันในการทำธุรกิจ หากผู้บริหารเลือกที่จะสร้าง Growth ก็ต้องผ่อนเรื่องประสิทธิภาพไป หากจะมุ่งในการปรับปรุงประสิทธิภาพ ก็ไม่ต้องแลกกับการที่ธุรกิจจะไม่สามารถสร้าง Growth ที่มากได้
ทั้งนี้เนื่องจาก Growth หรือการเจริญเติบโตนั้นมักจะหมายถึงการขยายตัวหรือเพิ่มขึ้นในมิติต่างๆในการดำเนินธุรกิจไม่ว่าจะเป็นเรื่องยอดขาย ส่วนแบ่งตลาด กำลังคน การเปิด segment หรือผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ ซึ่งนั่นย่อมหมายถึงธุรกิจต้องมีค่าใช้จ่ายที่มากขึ้นเพื่อให้เกิดการขยายตัวขึ้นของกิจกรรมในการดำเนินงาน
ซึ่งในแง่นี้ Growth จึงเป็นสิ่งตรงกันข้ามกับประสิทธิภาพ เนื่องจากการพัฒนาประสิทธิภาพนั้นมุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรต่างๆที่มีอยู่ให้เกิดมูลค่าสูงสุด โดยที่อาจเป็นเรื่องของการมุ่งลดต้นทุนต่างๆเพื่อให้ได้ยอดขายเท่าเดิม หรือการที่ใช้ทรัพยากรในองค์กรในปริมาณเท่าเดิมเพื่อให้ได้ยอดขายที่เพิ่มขึ้น ลดการสิ้นเปลือง
โดยสรุปแล้วเราจึงไม่สามารถสร้าง Growth ไปพร้อมๆกับประสิทธิภาพได้ เนื่องจากการสร้าง Growth นั้นจำเป็นต้องเพิ่มการใช้ทรัพยากรและมีรายจ่ายเพิ่มขึ้น ขณะที่การมุ่งไปที่ประสิทธิภาพนั้นองค์กรจะใส่ใจไปที่การลดต้นทุนต่อหน่วยของการดำเนินงานลง
คำถามที่ตามมาก็คือ แล้วท้ายที่สุดธุรกิจควรเลือกที่จะโฟกัสไปที่ Growth หรือประสิทธิภาพกันแน่ ประสบการณ์ของดิฉันในฐานะผู้ประกอบการเห็นว่าธุรกิจสามารถเลือกโฟกัสได้ทั้ง 2 อย่าง ทั้งนี้ขึ้นกับอุตสาหกรรมที่เราแข่งขันนั้นอยู่ในช่วงใดของวงจรธุรกิจ หากว่าธุรกิจอยู่ในช่วงของวัฏจักรขาขึ้น สินค้าที่ออกมาเป็นสินค้านวัตกรรมที่กำลังติดตลาด ธุรกิจก็ควรมุ่งเน้นที่การเติบโต แต่ถ้าหากว่าผลิตภัณฑ์ที่เราขายอยู่นั้นมีช่องทางการตลาดที่จำกัดและคู่แข่งในตลาดก็มีมาก ธุรกิจก็ควรมุ่งเน้นไปที่ประสิทธิภาพเพื่อรักษาระดับกำไรเอาไว้

 
                         
                         
                         
                         
                                             
                        